![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbpVyhO4DK2FCtBjGWIFOlS3z-GM0zVaVfn47OL0JvexsFjPi3eE4-45DWwwHURJnQ6dO9RlR-0A7x-yYNDDkW1BzNEVJ21cmi5tcpDhEoHwO5JwE674IHdRB3w0MktcL6iIot66MnLBs/s200/24102008112.jpg)
ใครจะช่วยอ่านช่วยแปล?
Since one was born.
เหตุอยู่ที่การเกิด
ปีพ.ศ. 2498 ผืนนาอีสานแล้งอย่างไรก็ยังแล้งเช่นนั้น แม้หน้าฝนพึ่งผ่านไปไม่กี่เดือนน้ำที่เหลือตามมุมแปลงนาก็เริ่มระเหยหายไปแทบไม่เหลือ พื้นนาที่ดอนก็เริ่มแห้ง ผงทรายผงฝุ่นเริ่มบินว่อนยามต้องลมแรง ลมเย็นเดือนพฤศจิกายน พัดวูบมาเป็นช่วงๆ เสียงอากาศทักทายกับตอฟางข้าวดังหวิวเหวียดอยู่เหวียดหวิว ชายฉกรรจ์ สองคนเดินหาบมัดข้าวไปที่ลานข้าวเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าอย่างขะมักเขม้นก่อนความมืดจะมาเยือน
กลิ่นมูลควายผสมดินจากเนินดินที่ใช้ทำพื้นลานโชยมาเป็นระยะๆ บวกกับกลิ่นฟางกลิ่นดินที่ติดกายติดใจชาวนาแทบทุกคนไอ้เจ้าทุยถูสีข้างไปมากับต้นมะขามข้างลานก่อนนอนเผละลงบนพื้น ขณะที่แม่ไก่สามสี่ตัวต่างส่งเสียงกุ๊กๆเรียกลูกน้อยเข้ารัง ใต้ถุนเถียงนา ส่วนเจ้าไก่โต้งสองตัว ทำหน้าที่เฝ้ายาม โผบินขึ้นไปยังห้องนอนประจำบนต้นมะขาม
“ ปีนี้ลมแปลกๆเนาะ” ชายคนแรกเริ่มบทสนทนาหลังจากโยนมัดข้าวขึ้นกอง
“ นั่นนะซี เป็นปีมืด มีสุริยฆาตเสียด้วย”
“กะนั่นตี้ นี่พ่อมีกะเพิ่งเสียไป”
“โอ๊ย!มันไม่เกี่ยวกันหรอก การล้มหายตายจากก็เป็นธรรมดาของคนแก่…เรื่องของสังขาร โตก็บวชมานาน น่าจะเข้าใจ. ..จริงไหมเสริฐ”
“นวยเอ๊ย เราบวชก็จริงแต่ไม่บวชนานเท่านาย ยังไม่ค่อยปล่อยวางได้อย่างนาย …นี่ก็ยังห่วงอาอ้อยอยู่ไม่ทราบจะเป็นไง”
“ นายว่าแกจะได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ก็คงผู้หญิงอีกนะแหละ” ประเสริฐคาดคะเน
“ขอให้แกได้ผู้ชายเถอะ จะได้มาแทนเจ้าที่เสียไป”
“เออหญิงชายก็ค่อยว่ากัน ขอให้เด็กมันแข็งแรงก็แล้วกัน แกยิ่งผอมอยู่ แถมก็ป่วยปีเว้นปีแบบนั้น”
“เราก็คงทำได้แค่เอาใจช่วยเนาะ ทุกอย่างก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ”
ทั้งคู่ถอนหายใจ ค่อยๆแยกจากกันไปพักผ่อน อาบน้ำชำระร่างกายหลังเหนื่อยมาทั้งวัน นวยเดินไปหิ้วคุถังพร้อมจับผ้าขาวม้าพาดบ่าตรงไปที่บ่อน้ำเล็กๆในมุมหนึ่งของแปลงนา ขณะที่ประเสริฐเดินตรงไปที่ซุ้มฟางใกล้ลานข้าว ใช้ผ้าขาวม้าปัดแกว่งไปตามตัวแล้วปัดไปที่เสื่อผืนบางที่ปูอยู่บนพื้นฟางก่อนเอนหลังลงพักเหนื่อย
เหนือลานข้าวขึ้นมาอีกประมาณสามร้อยเมตร บนกระท่อมไม้ขนาดย่อมบนเนินเล็กๆ พ่อบ้านเริ่มสาละวนอยู่กับการก่อไฟ บนเตา มือหนึ่งดันท่อนฟืนเข้าไปชนกัน อีกมือจับใบไม้ขนาดเขื่องพัดไปมาสลับกับการเป่าลมไปที่กองไฟ สักครู่ควันไฟก็ลอยฟุ้งลอดหลังคามุงหญ้าคาออกไปอ้อยอิ่งอยู่เหนือกระท่อมก่อนที่จะค่อยๆลอยกระจายขึ้นไปบนฟ้าที่เริ่มอับแสง
“ผ่อนเอาหม้อนึ่งให้พ่อหน่อย” ผู้เป็นพ่อบอกลูกสาวที่พึ่งวางหาบน้ำลงหน้าโอ่งดินใกล้นอกชาน
“เอ้าอีหล่า เอาหม้อกับหวดนี่ไปให้พ่อ เอื้อยจะเอาน้ำใส่โอ่งก่อน” ผู้เป็นพี่ซึ่งอยู่ในวัยสิบสามสิบสี่หันไปบอกน้องสาวที่ยืนยุกยิกอยู่ใกล้ๆ
“วันนี้มีอะไรกินพ่อ” จ่อยอ้าปากถาม
“มื่อนี่มีปลาข่อน” ผู้เป็นพ่อตอบ ขณะที่หันไปคว้าข้องใส่ปลาเปื้อนโคลนข้างตัว
“ปลาข่อใหญ่บ่พ่อ” ลูกสาวดีใจจะได้กินปลาช่อนเนื้อนุ่ม แต่ก็รู้ตัวว่าเดาผิดเมื่อได้ยินคำตอบของพ่อว่า
“ไม่ใช่ปลาช่อนหรอกลูก มีแต่ปลาซิวกับปลาหมอสองสามตัว เดี๋ยวพ่อจะทำป่นให้ทาน”
“เมื่อเช้าก็ป่นแล้วนะพ่อ ปิ้งเอาไม่ได้หรือพ่ออร่อยดี”
“ป่นก็อร่อยนะลูก ได้กินหลายคนด้วย แถมยังได้กินผักด้วย …เออลูกลองลงไปดูมะเขือที่แม่ปลูกไว้ซิ ถ้ามันมีลูกเก็บมาให้พ่อหน่อย ป่นใส่ด้วยกันจะได้กินอิ่มๆนะลูก”
“เก็บผักกระโดนด้วยนะพ่อ” จ่อยตื่นเต้นกับการไปเก็บพักจนลืมฝันเรื่องกินปลาย่าง
“เออดีอีหล้า เอายอดผักใส่ (มะระ) ข้างต้นกล้วยมานำเด้อ….เอ้าตึ๋งอย่ากวนแม่หลายเด้อแม่ยิ่งมีน้องอยู่” ผู้เป็นพ่อหันไปบอกลูกสาวคนเล็กวัยห้าขวบที่คลอเคลียอยู่กับแม่ท้องแก่จวนคลอด
“อยู่ดีๆอย่ากวนแม่นะลูกแม่ไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวพ่อจะทำอาหารให้กิน สักพักเอื้อยผ่อนก็ตักน้ำแล้วหรอก จักหน่อยหยังกินก็แล้วเสร็จหรอก”
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาทุกอย่างก็เรียบร้อย พ่อแม่ลูกทั้งห้าร่วมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย ฤดูนี้ถือว่าอาหารการกินยังสมบูรณ์ ถ้าเป็นหน้าแล้งจะต่างจากนี้มาก ปีไหนแล้งมากๆ กบเขียดในนาไม่มี ครอบครัวพ่อเม้งก็ต้องอดออมมากขึ้น หลายครั้งที่ปลาร้าตัวเดียวกินกันตั้งแต่มื้อเช้าถึงเย็น หลายครั้งที่พ่อแม่แบ่งไข่ฟองเดียวที่แม่เป็ดมันให้มาออกเป็นแว่นๆแบ่งให้ลูกๆกินโดยพ่อแม่ไม่ทานอะไรเลยโดยอ้างว่าตนเองอิ่มแล้ว บางครั้งกล้วยลูกเดียวก็ต้องแบ่งครึ่งกินได้สองคาบสามคาบ ของหวานสำหรับพวกเขาแค่กล้วยคนละแว่นในปีที่แล้งหนักๆก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
“พ่อเมฆ ข่อยเจ็บท้อง” แม่อ้อยสะกิดบอกสามี
“เจ็บมากไหม อดทนไว้นะ เดี๋ยวจะให้อีผ่อนมันไปเรียกคนมาช่วย” ว่าพลาง พ่อเม้งก็กุลีกุจอไปปลุกลูกสาวคนรอง ส่วนคนโต เมฆหรือประมวลนั้นไปเรียนหนังสือในเมืองอุบลซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ25 กิโลเมตร
“ หล่า..ผ่อน..อีหล่าลุก …แม่เจ็บท้อง”
“อะไรพ่อ…กี่ทุ่มนี่” ลูกสาวงัวเงียถาม
“ตีสองตีสามแล้วหละ …ไปไปเรียกพ่อลุงเคนมาช่วย แม่ปวดท้องมากแล้ว”
ทั้งกลัวทั้งกล้า คำผ่อนค่อยๆก้าวลงบันไดเถียงนา มือหนึ่งถือไต้ อีกมือคอยพยุงจ่อยน้องสาวที่ถูกปลุกให้มาเป็นเพื่อนด้วย
“เอื้อยผ่อน ข้อยย่าน” จ่อยเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดๆ จับมือพี่สาวไว้แน่น
“กลัวอะไร ไม่มีอะไรหรอก …ไปเราต้องไปเถียงพ่อลุงเคน แม่เจ็บท้อง ต้องรีบหาคนมาช่วยแม่” ผ่อนทั้งปลอบตัวเองกับน้องสาวในคราวเดียวกัน สองขาก้าวข้ามคันนาพร้อมกับฉุดน้องสาวออกวิ่ง
“โอ๊ย!” จ่อยร้องออกมา ขาข้างหนึ่งลื่นไถลจากคันนาลงไปเหยียบตอข้าว ฉุดร่างให้ร่วงลงไปก้นจ้ำเบ้าอยู่ข้างคันนา…สายตาที่หวาดหวั่นบวกตกใจมองฝ่าความมืดออกไปเห็นพี่สาวอยู่ห่างออกไปสองสาวก้าว
“รอด้วย ถ่าข่อยแหน่ ข่อยย่านผีหลอก” จ่อยยักแย่ยักยันลุกขึ้น ก่อนรีบวิ่งลัดผืนตาฝ่าตอฟางตามหลังพี่สาวไป
“มาเร็ว” ผ่อนหยุดรอน้องสาว ใจก็เริ่มกลัวเหมือนกัน ดวงตามองฝ่าความมืดไปทางเถียงนาลุงเคนที่อยู่ลิบๆออกไป ยังนับว่าโชคดีอยู่บ้างที่ไม่ใช่คืนที่เดือนมืดสนิท ยังพอมองเห็นคันนา เห็นต้นไม้เป็นเงาตะคุ่มๆ แต่ก็เงาตะคุ่มตะคุ่มในทุ่งกว้างนั่นแหละสร้างจินตนาการดีนัก
“ห้ามพูดเรื่องผีเรื่องสางตอนดึกๆแบบนี้” ผ่อนรีบปรามน้องสาวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลุงมีพึ่งตายไป ยิ่งคิดยิ่งขนลุกขึ้นมาทันที มือยึดไต้ไว้มั่น ลมเย็นพัดวูบมา ผ่อนรีบเอามือป้องกระบองหรือไต้ไว้ จ่อยเบียดตัวเข้ามาพลางสองขาสั้นเล็กก็พยายามก้าวตามให้ทันพี่สาวด้วยเกรงว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สองพี่น้องเดินพลางวิ่งพลาง ตุปัดตุเป๋ไปตามคันนา สายตาเหลียวซ้ายแลขวา ต่างไม่พูดอะไรอีก มุ่งหน้าไปให้ถึงเป้าหมายอย่างเดียว
“ใกล้ถึงยังพี่” จ่อยอดรนทนไม่ได้
“รีบเดิน เด๋ยวก็ถึงแล้ว”
ทั้งคู่ฝ่าลมเย็นของคืนพฤศจิกายนไปต่อข้ามแปลงนา กระโดดขึ้นคันนา เลี่ยงต้นข้าว แล้วลัดแปลงนาที่เขาเกี่ยวเสร็จแล้วสลับกันไป
“พ่อลุง ..พ่อลุง..พ่อลุงเคน”
“ลุงเคน” จ่อยหลับหูหลับตาร้องเรียกตามพี่สาวไปทั้งที่ยังมองไม่เห็นอะไร สองขาน้อยๆก็รีบจ้ำตามพี่สาวที่เดินกึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้า แล้วฉับพลันสายตาก็เหลือบเห็นเงาขาวๆอยู่ใต้ต้นไม้รมเนินเถียง จ่อยกระโจนพรวดเกาะเสื้อพี่สาวแน่น พร้อมดึงให้หยุด
“เอื้อยผ่อน…พี่หยุด หยุด ใครนั่น” มือขวาชี้ไปข้างหน้า
คำผ่อนหยุดกึก ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวมือซ้ายถือกระบองมือขวากอดน้องสาวแน่น สายตามองตามมือน้องสาว นั่นมันอะไร ใครตัวใหญ่ๆขาวๆใต้ต้นไม้นั่น
“พ่อลุง พ่อลุง” ผ่อนแข็งใจก้าวต่อ ปากก็ส่งเสียงเรียกสุดเสียง ตาจ้องยังเงาตะคุ่มๆนั้นเขม็ง
ผมมองหญิงวัยชราที่นั่งเหยียดขาอยู่ตรงหน้า แกเล่าพลางหัวเราะพลาง ปากก็เล่าไป นานๆก็ยกมือปัดปอยผมที่ปลิวมาปิดตาที บางทีก็ยกมือขึ้นประกอบท่าทางกึ่งบอกว่า จริงๆนะฉันอยู่ในเหตุการณ์ ผมอดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกภาพคนสองคนพี่น้องวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปตามคันนาหน้าหนาว ยังดีนะที่ไม่ใช่หน้าน้ำ ไม่งั้นคงทุลักทุเลเปียกปอนกันมากกว่านี้ ผมนึกตามที่แกเล่า นึกถึงความกลัวของพี่สาวเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ แน่นอนมันคงน่ากลัวมาก เพราะสมัยนั้นยังมีป่าอยู่มาก ไฟฟ้าก็ยังไม่มี ทั่วทั้งบ้านเหล่าเสือโก้กยังมีสภาพเป็นชนบทแท้ๆ ป่าก็รกขนาดมีเสือให้ได้เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน แม้ว่าตั้งแต่ผมเกิดไม่ได้เคยได้เห็นหรือได้ยินว่ามีเสือให้เห็นแล้วก็ตาม
สมัยนั้นทุกคนอยู่กับธรรมชาติ กินอยู่ตามมีตามเกิด ใครมีอะไรก็แบ่งปันกันช่วยเหลือกัน บางปีผมแทบจะไม่ได้ใช้เงินแม้สลึงเดียว นานทีปีหนจะมีโอกาสเข้าเมืองกันที จะเข้าเมืองแต่ละทีก็ใช้เวลาเป็นวันทั้งที่ระยะทางเพียงแค่ยี่สิบกว่ากิโลเมตร ดังนั้นเมื่อฟังพี่สาวบรรยายสภาพการมาวันมาของผม ผมจึงพอจะนึกภาพความเงียบ ความน่ากลัวออก แต่เชื่อหรือไม่ว่าผมรู้สึกว่าท่ามกลางความเงียบ ความขาดแคลน ความมืดมิดของอดีตนั้น มันแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ความไว้อกไว้ใจ ความเห็นใจกัน ความเชื่อมั่นในกันและกัน มันเป็นความหวาน เป็นความสุขที่ยากจะลืมหากไม่ถึงกับโหยหา ผิดกับสมัยนี้ สมัยที่ฟ้าใส ไฟสว่าง ทางกว้าง รถราขวักไขว่ ไปไหนมาไหนได้ในพริบตา กินอยู่เต็มอิ่ม แต่กลับรู้สึกขาด ผมกลับรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเก่า รู้สึกอบอุ่นน้อยกว่า ในสมัยก่อนจะขาดก็เพียงอาหารกาย จะกลัวก็กลัวแต่สัตว์ร้าย สิ่งไม่เห็นตัว หรืออย่างมากก็คนบ้าที่ไม่มีสติ ไม่สมประกอบ แต่สมัยนี้สิ่งที่ขาดหายดูเหมือนจะเป็นอาหารใจ สิ่งที่น่ากลัวกว่าไม่ใช่ผีไม่ใช่วิญญาณ ทุกอย่างที่ดูจะเข้าใจยากและน่ากลัวรวมกันในสิ่งเดียวก็คือคน คนที่เขาว่าดีๆนี่แหละ บ่อยมากที่ปากอย่างใจอย่าง บ่อยมากที่เสแสร้งแกล้งทำ ขืนใครถลำไว้ใจพร่ำเพรื่อเป็นได้มีปัญหาจริงๆ
ทุกวันนี้ ผมจึงเหมือนหลงทาง ทั้งๆที่พยายามระวังเดินย้อนรอยเดิมเข้าหมู่บ้านนั่นแหละ…สี่ห้าปีแล้วยังเดินทางไม่ถึงบ้านสักที ทั้งที่ผมเกิดจากที่นั่น ทั้งที่ผมมาจากดิน และตั้งใจจะกลับสู่ดิน แต่ทำไมผมเห็นเพียงดินและผู้คนไม่กี่หยิบมือ…หรือผมจะมีสิทธิ์ได้เห็นเพียงดิน คนเก่าๆหายไปไหน หรือผมจะบ้าไปแล้วจริงๆที่รู้สึกว่าตนเองยังไปไม่ถึงบ้านทั้งที่ไปมาจนหมดน้ำมันไปเป็นพันลิตร พูดคุยกับคนเป็นพันคน..ทำไมนะยัง รู้สึกเหงารู้สึกเหนื่อยทั้งที่อยู่ในแผ่นดินเกิด ท่ามกลางคนดีๆทั้งนั้น ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆกระมังถึงไม่คิด ไม่เห็น ไม่รู้สึก ไม่ยอมรับ อย่างที่คนอื่นหลายคนเขาพร่ำบอก “ มันก็เป็นเช่นนี้แหละ ”
ผมคงเกิดผิดวันผิดที่กระมัง ใจผมถึงยังพร่ำแย้งว่า “รู้แล้วว่าเป็นยังไง แต่มั่นใจว่าเราทุกคนสามารถเป็นได้ทำได้มากกว่านี้ขอเพียงแค่เราเชื่อมั่นและไม่ย่ำอยู่กับที่เพราะแค่ประโยคและความเชื่อผิดๆที่ว่าเราทำเราพยายามถึงที่สุดแล้ว…เพราะตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่มันก็ยังไม่ถึงที่สุดอย่างแท้จริง ….เหตุอยู่ที่การเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถือได้ว่าเสียชาติเกิด”
กลิ่นมูลควายผสมดินจากเนินดินที่ใช้ทำพื้นลานโชยมาเป็นระยะๆ บวกกับกลิ่นฟางกลิ่นดินที่ติดกายติดใจชาวนาแทบทุกคนไอ้เจ้าทุยถูสีข้างไปมากับต้นมะขามข้างลานก่อนนอนเผละลงบนพื้น ขณะที่แม่ไก่สามสี่ตัวต่างส่งเสียงกุ๊กๆเรียกลูกน้อยเข้ารัง ใต้ถุนเถียงนา ส่วนเจ้าไก่โต้งสองตัว ทำหน้าที่เฝ้ายาม โผบินขึ้นไปยังห้องนอนประจำบนต้นมะขาม
“ ปีนี้ลมแปลกๆเนาะ” ชายคนแรกเริ่มบทสนทนาหลังจากโยนมัดข้าวขึ้นกอง
“ นั่นนะซี เป็นปีมืด มีสุริยฆาตเสียด้วย”
“กะนั่นตี้ นี่พ่อมีกะเพิ่งเสียไป”
“โอ๊ย!มันไม่เกี่ยวกันหรอก การล้มหายตายจากก็เป็นธรรมดาของคนแก่…เรื่องของสังขาร โตก็บวชมานาน น่าจะเข้าใจ. ..จริงไหมเสริฐ”
“นวยเอ๊ย เราบวชก็จริงแต่ไม่บวชนานเท่านาย ยังไม่ค่อยปล่อยวางได้อย่างนาย …นี่ก็ยังห่วงอาอ้อยอยู่ไม่ทราบจะเป็นไง”
“ นายว่าแกจะได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ก็คงผู้หญิงอีกนะแหละ” ประเสริฐคาดคะเน
“ขอให้แกได้ผู้ชายเถอะ จะได้มาแทนเจ้าที่เสียไป”
“เออหญิงชายก็ค่อยว่ากัน ขอให้เด็กมันแข็งแรงก็แล้วกัน แกยิ่งผอมอยู่ แถมก็ป่วยปีเว้นปีแบบนั้น”
“เราก็คงทำได้แค่เอาใจช่วยเนาะ ทุกอย่างก็แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ”
ทั้งคู่ถอนหายใจ ค่อยๆแยกจากกันไปพักผ่อน อาบน้ำชำระร่างกายหลังเหนื่อยมาทั้งวัน นวยเดินไปหิ้วคุถังพร้อมจับผ้าขาวม้าพาดบ่าตรงไปที่บ่อน้ำเล็กๆในมุมหนึ่งของแปลงนา ขณะที่ประเสริฐเดินตรงไปที่ซุ้มฟางใกล้ลานข้าว ใช้ผ้าขาวม้าปัดแกว่งไปตามตัวแล้วปัดไปที่เสื่อผืนบางที่ปูอยู่บนพื้นฟางก่อนเอนหลังลงพักเหนื่อย
เหนือลานข้าวขึ้นมาอีกประมาณสามร้อยเมตร บนกระท่อมไม้ขนาดย่อมบนเนินเล็กๆ พ่อบ้านเริ่มสาละวนอยู่กับการก่อไฟ บนเตา มือหนึ่งดันท่อนฟืนเข้าไปชนกัน อีกมือจับใบไม้ขนาดเขื่องพัดไปมาสลับกับการเป่าลมไปที่กองไฟ สักครู่ควันไฟก็ลอยฟุ้งลอดหลังคามุงหญ้าคาออกไปอ้อยอิ่งอยู่เหนือกระท่อมก่อนที่จะค่อยๆลอยกระจายขึ้นไปบนฟ้าที่เริ่มอับแสง
“ผ่อนเอาหม้อนึ่งให้พ่อหน่อย” ผู้เป็นพ่อบอกลูกสาวที่พึ่งวางหาบน้ำลงหน้าโอ่งดินใกล้นอกชาน
“เอ้าอีหล่า เอาหม้อกับหวดนี่ไปให้พ่อ เอื้อยจะเอาน้ำใส่โอ่งก่อน” ผู้เป็นพี่ซึ่งอยู่ในวัยสิบสามสิบสี่หันไปบอกน้องสาวที่ยืนยุกยิกอยู่ใกล้ๆ
“วันนี้มีอะไรกินพ่อ” จ่อยอ้าปากถาม
“มื่อนี่มีปลาข่อน” ผู้เป็นพ่อตอบ ขณะที่หันไปคว้าข้องใส่ปลาเปื้อนโคลนข้างตัว
“ปลาข่อใหญ่บ่พ่อ” ลูกสาวดีใจจะได้กินปลาช่อนเนื้อนุ่ม แต่ก็รู้ตัวว่าเดาผิดเมื่อได้ยินคำตอบของพ่อว่า
“ไม่ใช่ปลาช่อนหรอกลูก มีแต่ปลาซิวกับปลาหมอสองสามตัว เดี๋ยวพ่อจะทำป่นให้ทาน”
“เมื่อเช้าก็ป่นแล้วนะพ่อ ปิ้งเอาไม่ได้หรือพ่ออร่อยดี”
“ป่นก็อร่อยนะลูก ได้กินหลายคนด้วย แถมยังได้กินผักด้วย …เออลูกลองลงไปดูมะเขือที่แม่ปลูกไว้ซิ ถ้ามันมีลูกเก็บมาให้พ่อหน่อย ป่นใส่ด้วยกันจะได้กินอิ่มๆนะลูก”
“เก็บผักกระโดนด้วยนะพ่อ” จ่อยตื่นเต้นกับการไปเก็บพักจนลืมฝันเรื่องกินปลาย่าง
“เออดีอีหล้า เอายอดผักใส่ (มะระ) ข้างต้นกล้วยมานำเด้อ….เอ้าตึ๋งอย่ากวนแม่หลายเด้อแม่ยิ่งมีน้องอยู่” ผู้เป็นพ่อหันไปบอกลูกสาวคนเล็กวัยห้าขวบที่คลอเคลียอยู่กับแม่ท้องแก่จวนคลอด
“อยู่ดีๆอย่ากวนแม่นะลูกแม่ไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวพ่อจะทำอาหารให้กิน สักพักเอื้อยผ่อนก็ตักน้ำแล้วหรอก จักหน่อยหยังกินก็แล้วเสร็จหรอก”
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาทุกอย่างก็เรียบร้อย พ่อแม่ลูกทั้งห้าร่วมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย ฤดูนี้ถือว่าอาหารการกินยังสมบูรณ์ ถ้าเป็นหน้าแล้งจะต่างจากนี้มาก ปีไหนแล้งมากๆ กบเขียดในนาไม่มี ครอบครัวพ่อเม้งก็ต้องอดออมมากขึ้น หลายครั้งที่ปลาร้าตัวเดียวกินกันตั้งแต่มื้อเช้าถึงเย็น หลายครั้งที่พ่อแม่แบ่งไข่ฟองเดียวที่แม่เป็ดมันให้มาออกเป็นแว่นๆแบ่งให้ลูกๆกินโดยพ่อแม่ไม่ทานอะไรเลยโดยอ้างว่าตนเองอิ่มแล้ว บางครั้งกล้วยลูกเดียวก็ต้องแบ่งครึ่งกินได้สองคาบสามคาบ ของหวานสำหรับพวกเขาแค่กล้วยคนละแว่นในปีที่แล้งหนักๆก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
“พ่อเมฆ ข่อยเจ็บท้อง” แม่อ้อยสะกิดบอกสามี
“เจ็บมากไหม อดทนไว้นะ เดี๋ยวจะให้อีผ่อนมันไปเรียกคนมาช่วย” ว่าพลาง พ่อเม้งก็กุลีกุจอไปปลุกลูกสาวคนรอง ส่วนคนโต เมฆหรือประมวลนั้นไปเรียนหนังสือในเมืองอุบลซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ25 กิโลเมตร
“ หล่า..ผ่อน..อีหล่าลุก …แม่เจ็บท้อง”
“อะไรพ่อ…กี่ทุ่มนี่” ลูกสาวงัวเงียถาม
“ตีสองตีสามแล้วหละ …ไปไปเรียกพ่อลุงเคนมาช่วย แม่ปวดท้องมากแล้ว”
ทั้งกลัวทั้งกล้า คำผ่อนค่อยๆก้าวลงบันไดเถียงนา มือหนึ่งถือไต้ อีกมือคอยพยุงจ่อยน้องสาวที่ถูกปลุกให้มาเป็นเพื่อนด้วย
“เอื้อยผ่อน ข้อยย่าน” จ่อยเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดๆ จับมือพี่สาวไว้แน่น
“กลัวอะไร ไม่มีอะไรหรอก …ไปเราต้องไปเถียงพ่อลุงเคน แม่เจ็บท้อง ต้องรีบหาคนมาช่วยแม่” ผ่อนทั้งปลอบตัวเองกับน้องสาวในคราวเดียวกัน สองขาก้าวข้ามคันนาพร้อมกับฉุดน้องสาวออกวิ่ง
“โอ๊ย!” จ่อยร้องออกมา ขาข้างหนึ่งลื่นไถลจากคันนาลงไปเหยียบตอข้าว ฉุดร่างให้ร่วงลงไปก้นจ้ำเบ้าอยู่ข้างคันนา…สายตาที่หวาดหวั่นบวกตกใจมองฝ่าความมืดออกไปเห็นพี่สาวอยู่ห่างออกไปสองสาวก้าว
“รอด้วย ถ่าข่อยแหน่ ข่อยย่านผีหลอก” จ่อยยักแย่ยักยันลุกขึ้น ก่อนรีบวิ่งลัดผืนตาฝ่าตอฟางตามหลังพี่สาวไป
“มาเร็ว” ผ่อนหยุดรอน้องสาว ใจก็เริ่มกลัวเหมือนกัน ดวงตามองฝ่าความมืดไปทางเถียงนาลุงเคนที่อยู่ลิบๆออกไป ยังนับว่าโชคดีอยู่บ้างที่ไม่ใช่คืนที่เดือนมืดสนิท ยังพอมองเห็นคันนา เห็นต้นไม้เป็นเงาตะคุ่มๆ แต่ก็เงาตะคุ่มตะคุ่มในทุ่งกว้างนั่นแหละสร้างจินตนาการดีนัก
“ห้ามพูดเรื่องผีเรื่องสางตอนดึกๆแบบนี้” ผ่อนรีบปรามน้องสาวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลุงมีพึ่งตายไป ยิ่งคิดยิ่งขนลุกขึ้นมาทันที มือยึดไต้ไว้มั่น ลมเย็นพัดวูบมา ผ่อนรีบเอามือป้องกระบองหรือไต้ไว้ จ่อยเบียดตัวเข้ามาพลางสองขาสั้นเล็กก็พยายามก้าวตามให้ทันพี่สาวด้วยเกรงว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สองพี่น้องเดินพลางวิ่งพลาง ตุปัดตุเป๋ไปตามคันนา สายตาเหลียวซ้ายแลขวา ต่างไม่พูดอะไรอีก มุ่งหน้าไปให้ถึงเป้าหมายอย่างเดียว
“ใกล้ถึงยังพี่” จ่อยอดรนทนไม่ได้
“รีบเดิน เด๋ยวก็ถึงแล้ว”
ทั้งคู่ฝ่าลมเย็นของคืนพฤศจิกายนไปต่อข้ามแปลงนา กระโดดขึ้นคันนา เลี่ยงต้นข้าว แล้วลัดแปลงนาที่เขาเกี่ยวเสร็จแล้วสลับกันไป
“พ่อลุง ..พ่อลุง..พ่อลุงเคน”
“ลุงเคน” จ่อยหลับหูหลับตาร้องเรียกตามพี่สาวไปทั้งที่ยังมองไม่เห็นอะไร สองขาน้อยๆก็รีบจ้ำตามพี่สาวที่เดินกึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้า แล้วฉับพลันสายตาก็เหลือบเห็นเงาขาวๆอยู่ใต้ต้นไม้รมเนินเถียง จ่อยกระโจนพรวดเกาะเสื้อพี่สาวแน่น พร้อมดึงให้หยุด
“เอื้อยผ่อน…พี่หยุด หยุด ใครนั่น” มือขวาชี้ไปข้างหน้า
คำผ่อนหยุดกึก ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวมือซ้ายถือกระบองมือขวากอดน้องสาวแน่น สายตามองตามมือน้องสาว นั่นมันอะไร ใครตัวใหญ่ๆขาวๆใต้ต้นไม้นั่น
“พ่อลุง พ่อลุง” ผ่อนแข็งใจก้าวต่อ ปากก็ส่งเสียงเรียกสุดเสียง ตาจ้องยังเงาตะคุ่มๆนั้นเขม็ง
ผมมองหญิงวัยชราที่นั่งเหยียดขาอยู่ตรงหน้า แกเล่าพลางหัวเราะพลาง ปากก็เล่าไป นานๆก็ยกมือปัดปอยผมที่ปลิวมาปิดตาที บางทีก็ยกมือขึ้นประกอบท่าทางกึ่งบอกว่า จริงๆนะฉันอยู่ในเหตุการณ์ ผมอดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกภาพคนสองคนพี่น้องวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปตามคันนาหน้าหนาว ยังดีนะที่ไม่ใช่หน้าน้ำ ไม่งั้นคงทุลักทุเลเปียกปอนกันมากกว่านี้ ผมนึกตามที่แกเล่า นึกถึงความกลัวของพี่สาวเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ แน่นอนมันคงน่ากลัวมาก เพราะสมัยนั้นยังมีป่าอยู่มาก ไฟฟ้าก็ยังไม่มี ทั่วทั้งบ้านเหล่าเสือโก้กยังมีสภาพเป็นชนบทแท้ๆ ป่าก็รกขนาดมีเสือให้ได้เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน แม้ว่าตั้งแต่ผมเกิดไม่ได้เคยได้เห็นหรือได้ยินว่ามีเสือให้เห็นแล้วก็ตาม
สมัยนั้นทุกคนอยู่กับธรรมชาติ กินอยู่ตามมีตามเกิด ใครมีอะไรก็แบ่งปันกันช่วยเหลือกัน บางปีผมแทบจะไม่ได้ใช้เงินแม้สลึงเดียว นานทีปีหนจะมีโอกาสเข้าเมืองกันที จะเข้าเมืองแต่ละทีก็ใช้เวลาเป็นวันทั้งที่ระยะทางเพียงแค่ยี่สิบกว่ากิโลเมตร ดังนั้นเมื่อฟังพี่สาวบรรยายสภาพการมาวันมาของผม ผมจึงพอจะนึกภาพความเงียบ ความน่ากลัวออก แต่เชื่อหรือไม่ว่าผมรู้สึกว่าท่ามกลางความเงียบ ความขาดแคลน ความมืดมิดของอดีตนั้น มันแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ความไว้อกไว้ใจ ความเห็นใจกัน ความเชื่อมั่นในกันและกัน มันเป็นความหวาน เป็นความสุขที่ยากจะลืมหากไม่ถึงกับโหยหา ผิดกับสมัยนี้ สมัยที่ฟ้าใส ไฟสว่าง ทางกว้าง รถราขวักไขว่ ไปไหนมาไหนได้ในพริบตา กินอยู่เต็มอิ่ม แต่กลับรู้สึกขาด ผมกลับรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเก่า รู้สึกอบอุ่นน้อยกว่า ในสมัยก่อนจะขาดก็เพียงอาหารกาย จะกลัวก็กลัวแต่สัตว์ร้าย สิ่งไม่เห็นตัว หรืออย่างมากก็คนบ้าที่ไม่มีสติ ไม่สมประกอบ แต่สมัยนี้สิ่งที่ขาดหายดูเหมือนจะเป็นอาหารใจ สิ่งที่น่ากลัวกว่าไม่ใช่ผีไม่ใช่วิญญาณ ทุกอย่างที่ดูจะเข้าใจยากและน่ากลัวรวมกันในสิ่งเดียวก็คือคน คนที่เขาว่าดีๆนี่แหละ บ่อยมากที่ปากอย่างใจอย่าง บ่อยมากที่เสแสร้งแกล้งทำ ขืนใครถลำไว้ใจพร่ำเพรื่อเป็นได้มีปัญหาจริงๆ
ทุกวันนี้ ผมจึงเหมือนหลงทาง ทั้งๆที่พยายามระวังเดินย้อนรอยเดิมเข้าหมู่บ้านนั่นแหละ…สี่ห้าปีแล้วยังเดินทางไม่ถึงบ้านสักที ทั้งที่ผมเกิดจากที่นั่น ทั้งที่ผมมาจากดิน และตั้งใจจะกลับสู่ดิน แต่ทำไมผมเห็นเพียงดินและผู้คนไม่กี่หยิบมือ…หรือผมจะมีสิทธิ์ได้เห็นเพียงดิน คนเก่าๆหายไปไหน หรือผมจะบ้าไปแล้วจริงๆที่รู้สึกว่าตนเองยังไปไม่ถึงบ้านทั้งที่ไปมาจนหมดน้ำมันไปเป็นพันลิตร พูดคุยกับคนเป็นพันคน..ทำไมนะยัง รู้สึกเหงารู้สึกเหนื่อยทั้งที่อยู่ในแผ่นดินเกิด ท่ามกลางคนดีๆทั้งนั้น ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆกระมังถึงไม่คิด ไม่เห็น ไม่รู้สึก ไม่ยอมรับ อย่างที่คนอื่นหลายคนเขาพร่ำบอก “ มันก็เป็นเช่นนี้แหละ ”
ผมคงเกิดผิดวันผิดที่กระมัง ใจผมถึงยังพร่ำแย้งว่า “รู้แล้วว่าเป็นยังไง แต่มั่นใจว่าเราทุกคนสามารถเป็นได้ทำได้มากกว่านี้ขอเพียงแค่เราเชื่อมั่นและไม่ย่ำอยู่กับที่เพราะแค่ประโยคและความเชื่อผิดๆที่ว่าเราทำเราพยายามถึงที่สุดแล้ว…เพราะตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่มันก็ยังไม่ถึงที่สุดอย่างแท้จริง ….เหตุอยู่ที่การเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถือได้ว่าเสียชาติเกิด”
สองแง่สองง่าม เป็นสำนวน หมายความว่า ตีความได้เป็น 2 นัย แต่หนึ่งส่อไปในทางหยาบโลน ประเทศไทยเราเองก็มีปริศนาคำทายที่ใช้คำที่มีความหมายสองแง่สองง่าม ทำให้คนฟังนึกไปถึงเรื่องหยาบคายหรือเรื่องสัปดน แต่พอเฉลยคำตอบก็ไม่ใช่เรื่องหยาบ การหักมุมเช่นนี้ทำให้ปริศนาคำทายนั้นเป็นที่นิยมเล่นกัน
ReplyDeleteที่มาของสำนวนที่มีความหมายสองแง่สองง่ามนี้มาจากการเล่น ทายปริศนา เพื่อความสนุกสนาน หรือมาจากการผวนคำ เรามักจะพบเห็นได้โดยทั่วไปตามสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่นิตยสารต่าง ๆ สำนวนหรือคำที่สื่อมวลชนเลือกใช้นั้นอาจก่อให้เกิดการเข้าใจผิดแก่ผู้อ่าน
ที่มา: http://region3.prd.go.th/showarticle.php?ID=080121092814
by Kamonchanok sec. aj.Metee
คำสองแง่สองง่าม
ReplyDelete"ชักว่าว"
ความหมายที่1 เป็นกริยาที่เด็กๆเล่นว่าว ซึ่งทำด้วยไม้และกระดาษ เด็กๆนิยมเล่นนกันในหน้าหนาวพราะมีลมดื การที่เด็กๆชักว่าวเพื่อที่จะให้ว่าวนั้นสูงขึ้นติดลมบน และจะไม่ตกพื้นง่ายถ้ายังมีลมพัดอยู่
ความหมายที่ 2 ชักว่าว เป็นการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของเพศชาย
ดัดแปลงจาก http://dek-d.com/board/view.php?id=1390822
By Pakorn section Aj.Metee
คำสองแง่สองง่าม เสนอคำว่า
ReplyDelete"ปี้"
ความหมายที่หนึ่ง เป็นคำนาม เป็นภาษาเหนือ คำนี้เป็นคำสุภาพ แปลว่า พี่สาว
ความหมายที่สอง เป็นกริยา คำนี้ในความหมายภาษาไทยแปลว่า ร่วมเพศ ถือเป็นคำไม่สุภาพ
ที่มา: http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=11369.30
By Theerapong Section Aj.Metee
คำว่า สองแง่สองง่าม เป็นสำนวน หมายความว่า ตีความได้เป็น 2 นัย แต่หนึ่งส่อไปในทางหยาบโลน ประเทศไทยเราเองก็มีปริศนาคำทายที่ใช้คำที่มีความหมายสองแง่สองง่าม ทำให้คนฟังนึกไปถึงเรื่องหยาบคายหรือเรื่องสัปดน แต่พอเฉลยคำตอบก็ไม่ใช่เรื่องหยาบ การหักมุมเช่นนี้ทำให้ปริศนาคำทายนั้นเป็นที่นิยมเล่นกัน
ReplyDeleteตัวอย่าง - ชาคริต แต่งตัวเป็นหญิงเล่นทั้งหนังและละคร ใบหน้าถือว่าสอบผ่านความเป็นหญิง แต่พอหันไปเห็น “ท่อนล่าง” ไม่เสียแรงที่ได้ฉายา “พระเอกไม้เลื้อย” ของ ชาคริต แย้มนาม ทั้งยาวและใหญ่ สาว ๆ เห็นปุ๊บพากันร้อง อู้ย...โคตรใหญ่ ( ปล.อย่าคิดลึก รองเท้าชาคริตเบอร์ 44 จ้ะ ) จะเห็นได้ว่า ตัวอย่างนี้สื่อเลือกใช้คำที่มีความหมายสองแง่สองง่าม อาจให้ผู้อ่านคิดไปถึงเรื่องเพศ
ที่มา : http://region3.prd.go.th/showarticle.php?ID=080121092814
By Arunothai Huayyai 5114400344 Sec. Aj. Metee
สองแง่สองง่าม มาจากคำว่า ลักษณะหรือสิ่งที่แยกออกเป็น ๒ หรือ ๓ เป็นต้น เช่น ง่ามไม้ ไม้ง่าม สามง่าม, โดยปริยายใช้หมายถึงถ้อยคําที่มีความหมายได้ ๒ ทาง คือ
ReplyDeleteทั้งทางสุภาพและไม่สุภาพ เช่น พูดสองง่าม.
ดังนั้
สองแง่สองง่าม มีความหมายตีได้เป็น ๒ นัย ทั้งความหมายธรรมดาและ
ความหมายที่ส่อไปในทางหยาบโลน (มักใช้ในปริศนาคำทาย)
เช่นนอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย.
http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp
By Atsawinee Sec. Aj. Metee
ส่วนผมขอเสนอเป็นคำถามสองแง่สองง่ามแทนคือ
ReplyDeleteขึ้นต้นด้วย คอ*** ลงท้ายด้วย ยอยักษ์ มีขน เป็นอวัยวะ?
ตอบ ค้ายซิ้ว นั่นเอง อย่าคิดลึงนะ อาจารย์และเพื่อนๆ (ทำเฉลยให้ยากเพื่อนให้ลองตอบก่อน)
นายกีรดิษฐ์ มั่นคง (โสภี) 5114440041
สองแง่สองง่ามคือสิ่งที่มีความหมายตีได้เป็น ๒ นัย ทั้งความหมายธรรมดาและความหมายที่ส่อไปในทางหยาบโลน (มักใช้ในปริศนาคำทาย) เช่นนอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย.
ReplyDeleteที่มา: http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=%CA%CD%A7%E1%A7%E8%CA%CD%A7%A7%E8%D2%C1&select=1
Paphawee Chaiyaprukmongkon 5114440210 Sec. Aj. Metee
อาจจะยาวหน่อยนะค่ะแต่ก็ชวนให้เห็นภาำพยิ่งขึ้น:
ReplyDeleteสองแง่ สามง่าม (ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ)
ประชุ้มมมม ประชุม ประชุม
ฉันเหนื่อยหน่ายกับคำนี้มากทีเดียวค่ะ
และเมื่อไมค์มาจ่อปากและได้โอกาสพูดบ้าง
เมื่อชี้แจงหน้าที่จนลุล่วงแล้ว
ฉันจึงพูดว่า อยากให้ประชุมน้อย ๆ ทำมาก ๆ จะดีกว่าค่ะ
ด้วยคำนี้ ทุกสายตาในห้องที่มองมาที่ฉัน
ประมาณว่า อยากได้กี่ขั้นจ๊ะ ถึงพูดอย่างนี้
ถึงไม่ฉลาด ก็ไม่โง่นัก ฉันจึงพูดใหม่
คือแทนที่เราจะมานั่งสบตากันอยู่
เปลี่ยนเป็นไป ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ กันดีกว่ามั๊ยคะ
ตั้งท่าว่าจะเกลียดก็ทำไม่ได้ ทุกคนเลยฮากันครืน
โอ้ เจ้าสองแง่ช่วยฉันไว้
............................
พ่อตาสีผักตบฟังภาษาไทยออกบ้างไม่ออกบ้าง
เดินมาถามฉันด้วยความสงสัย
ถึงความหมายของ ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ
ฉันก็อ้อค่ะ ฉันหมายถึงให้ทุกคนไปทำงาน
เขาก็ว่า แล้วทำไมทุกคนถึงขำกันก๊าก
ฉันก็เลยว่า คุณต้องไปแต่งงานกับสาวไทยสักคนนึงนะ
แล้วเธอจะบอกคุณว่ามันคืออะไร
พ่อตาเขียว ได้ทีเลยค่ะ บอกฉันว่า งั้นมาแต่งงานกันมั๊ย
ฉันก็ว่า คุณอยากแต่งงานเพราะอยากรู้ความหมายคำนี้เหรอ
เขาว่า ความหมายมันน่าจะดีและผมอยากทำสิ่งดี ๆ กับคุณ
ถึงต่อยให้ตาหลุดเขาก็ไม่รู้ในสิ่งที่เขาพูดหรอกค่ะ
แต่ฉันหน้าแดงล่ะเออค่ะ บ้าจริง
เฮ้อ เจ้าสามง่ามทำพิษแล้วมั๊ยล่ะ
เขายังคงถามมาค่ะว่า raya dear pls tell me know
ฉันไม่ตอบให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิสุภาพสตรีไทยหรอกค่ะ
ปล่อยพ่อตาเขียว ตัวขาว ชอบสาวตัวดำ เซ่ออยู่ตรงนั้น
ส่วนฉันขอตัวไป ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ ก่อนนะคะทุกคน
ที่มา: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=raya-a&month=16-06-2010&group=17&gblog=4
มณฑกาญจน์ ลาลุน 5114440290 อ.เมธี
ตัวอย่างคำที่สื่อความหมายสองแง่สองง่าม
ReplyDeleteข่าวล่าสุดจากค่ายเรด บีท มิวสิค ฯ โดยบอสใหญ่คุณเชาวลิต วานิชการชัย เจ้าพ่อแห่งเพลงแดนซ์ บอกถึงความเคลื่อนไหวหลังปล่อย “เพลงอยากไปหาปี้” ของ ใหญ่ ประสงค์ รวมเพลงดังในอดีต เพิ่มเพลงใหม่ อีก 4 เพลง รวม 19 เพลงดัง ในอัลบั้มอยากไปหาปี้ ของใหญ่ ประสงค์ เจ้าพ่อเพลงแดนซ์ หนุ่มชาวเหนือ ที่ออกมาอาละวาดจนติดอกติดใจแฟนเพลง ทั่วประเทศอญู่ในขณะนี้ ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากเจ้าตัวว่า “เพลงของผมชื่อเพลงอยากไปหาปี้ ประมาณว่า เป็น ภาคสอง ของเพลงให้ปี้ได้ก่อ ที่พี่ โจ้ มนตรี ได้ร้องไว้ เป็นภาษาเหนือ เป็นเพลงเท่ห์ มีสไตล์ สนุกกับการใช้ภาษา แต่ฟังดูแล้วเป็นสองแง่ สองง่าม แต่จริง ๆ แล้ว เป็นภาษาที่สุภาพ ที่แปลว่า “ไปหาพี่” ซึ่งแฟนเพลงได้ฟังแล้ว ขำกันทุกคน สำหรับเพลงนี้ ยอมรับว่า ผมดีใจที่เวลาเดินไปไหน มีแฟนเพลงเข้ามาทักทาย มีทั้งจดหมาย เข้ามาให้กำลังใจ รวมถึงโทรศัพท์ทุกๆ สาย และแฟน ๆ ที่ช่วยกันอุดหนุนแผ่นจริง ทำให้โจ้ มีกำลังใจทำงานที่มีคุณภาพต่อไป
ที่มา:http://www.ryt9.com/s/prg/120449
Supawadee Promlee 5114440470 sec aj Metee
คำถามสองแง่สองง่าม
ReplyDeleteที่มา จาก บทความ คำถามสองแง่สองง่าม
http://atcloud.com/stories/52166
ถาม : รูอะไรเอ่ย ทำให้เรามีความสุข
ตอบ : รูเยิบ (เลิฟยู = love you)
by Pawinee : 50147400
section. Aj. Metee
(adj.) double-meaning
ReplyDeleteว. มีความหมายตีได้เป็น ๒ นัย ทั้งความหมายธรรมดาและความหมายที่ส่อไปในทางหยาบโลน (มักใช้ในปริศนาคำทาย) เช่นนอนสูงให้นอนคว่ำ นอนต่ำให้นอนหงาย มาจากคำว่า ลักษณะหรือสิ่งที่แยกออกเป็น ๒ หรือ ๓ เป็นต้น เช่น ง่ามไม้ ไม้ง่าม สามง่าม
from
http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp
http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=%CA%CD%A7%E1%A7%E8%CA%CD%A7%A7%E8%D2%C1&select=1
Suwannee Singthong
5114400322
"สามสิบหก" คืออกอันเซ็กซี่
ReplyDelete"ยี่สิบสี่" คือเอวองค์ทรงเฉลา
"สามสิบห้า" บั้นท้ายร้ายไม่เบา
รวมกันเข้า "เก้าสิบห้า" อายุ "เธอ"
Pattamon Chantanachat 5114440265
section Aj. Metee
หนูยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับ flagและarmy
ReplyDeleteแต่ขอวิเคราะห์เพื่อให้อาจารย์ช่วยแนะนำว่าสิ่งที่อธิบายถูกผิดอย่างไร
----
flag คือ ธง แสดง ประเทศ
ประเทศ มี ภาษา
army คือ ทหาร แสดง กลุ่ม
กลุ่มทหาร คือ พลเมือง แสดง ผู้ใช้ภาษาหนึ่งเดียวกัน
----
ประเทศมี language
ใน language มี dialect
เช่น ประเทศไทยมี dialect คือ ภาษากลาง ภาษาถิ่นอีสาน,ถิ่นเหนือ,
ถิ่นใต้
แต่มีหนึ่ง dialect ที่คนไทยทั้งประเทศยอมรับ คือภาษากลาง จึงเป็น language ของประเทศไทย
----
ดังนั้น dialect จะเป็น language ได้ ก็เพราะ คนในประเทศหรือในชาตินั้นๆยอมรับและใช้ทุกเขตทุกพื้นที่ จนเป็นกลุ่ม language เดียวกัน
เหมือน army เป็นกลุ่มที่ใช้ language ที่ยอมรับร่วมกัน
และ flag เป็นธงที่แสดง ประเทศหรือชาติ ที่มี language เป็นของตนเอง
----
หนูอธิบาย แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด
อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยคะขอบคุณคะ
----
5114440265
section Aj. Metee
ถ้าคำสองแง่ 2ง่ามเป็นการตีความในทางลามกได้ ประโยคที่ว่า "ไอ้เจ้าทุยถูสีข้างไปมากับต้นมะขามข้างลานก่อนนอนเผละลงบนพื้น ขณะที่แม่ไก่สามสี่ตัวต่างส่งเสียงกุ๊กๆเรียกลูกน้อยเข้ารัง ใต้ถุนเถียงนา ส่วนเจ้าไก่โต้งสองตัว ทำหน้าที่เฝ้ายาม" ประโยคเหล่านี้เหมือนจะสื่อหรือเปรียบเทียบกับคนได้ด้วยหรือเปล่าค๋ะอาจารย์
ReplyDeleteNipaporn Intanint 48141594
และที่บอกว่า “ นายว่าแกจะได้ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ก้โยงเรื่อง language and gerder ได้ด้วยไหมคะ “ขอให้แกได้ผู้ชายเถอะ จะได้มาแทนเจ้าที่เสียไป” ถ้ามองว่าเป้นคำลามก หนูมองว่า คำว่าได้
ReplyDeleteมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีเซ็กส์ เป็นความหมายแรก และการมีบุตรเป็นความหมายที่ 2 คะ แบบนี่เป็นคำสองแง่สองง่ามไหมคะ
Nipaporn Intanint 48141594
ยังไม่หมดนะคะ ที่บอกว่า เจ้าที่เสียไป เป็นเกียวกับเจ้าโลกหรือเปล่าคะ
ReplyDeleteผิดถูกยังงัยก็ขออภัยด้วยนะคะ คือแค่อยากร่วมแบ่งปันและพูดคุยคะ
"นิภาพร"
ผมกีรดิษฐ์ นะครับ
ReplyDeleteจากที่หาข้อมูลมาจาก wikipedia ได้ความว่า
Corpus planning refers to the prescriptive intervention in the forms of a language, whereby planning decisions are made to engineer changes in the structure of the language. Corpus planning activities often arise as the result of beliefs about the adequacy of the form of a language to serve desired functions.
น่าจะประมาณว่ามันเป็นการสร้างโครงสร้างใหม่ทางภาษาเพิ่มเติมอะไรประมาณนี้หรือปราวครับ รู้สึกว่าข้อมูลจะน้อยมากเลยครับ
ผมจะไปอ่านเพิ่มในหนังสือนะครับ
กีรดิษฐ์ มั่นคง 5114440041
Corpus planning is associated with modernizing a language in order to be used in all domain, including science and technology. It's also changed the structure of language such as spelling. ภาพโดยรวมเหมือนเป็นการวางแผนในการใช้ภาษาซึ่งเกี่ยวข้องกับภาษาสมัยใหม่เพื่อให้ใช้ได้กับทุกพื้นที่ เช่นศัพท์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และก็ยังมีการเปลี่ยนโครงสร้างของภาษาเช่นการสะกดคำคะ
ReplyDeleteอมลวรรณ เรืองสา 48140144
Corpus planning
ReplyDeleteCorpus planning is one aspect of language planning. It refers to modifications in vocabulary, grammar, or writing, and it contrasts with status planning.
กมลชนก 5114440029
Corpus planning is an attempt to fix or modify the structure of a language such as writting, spelling and gramma in order to use in particular situation such as official language and printing book.
ReplyDeleteSuwannee
5114400322
Corpus planning is a language which is fixed or changed the structure for use in specific situaion.
ReplyDeletePaphawee 5114440210
Corpus planning is a fix or modify about the structure of a language for use in a specific situation.
ReplyDelete(Pawinee 50147400)
Corpus planning refers to changes or standardising of certain elements of the language, e.g. lexicon and orthography.
ReplyDelete(Theerapong Purisri 50146257)
Corpus planning is conscious development, enrichment, stabilisation, and updating of the standard language. It involves provision of linguistic recommendations and fixation of norms.
ReplyDelete(Awalin Phiewtong 5114401697)
corpus planinng may be viewed as a collection of decisions about the status of individual elements of the corpus of the language.
ReplyDeleteTatsanee Sae-ueng(5114400146)
Corpus planning: making changes in the structure of a language. In ethnic languages a linguistic institution may introduce new expressions and new words (or officialize words that have entered the language recently). Making grammars, dictionaries, and an orthography - and introducing orthographic reforms - are part of the establishing of a linguistic norm for a language, or the changing of an older norm. Linguistic purism also belongs to corpus planning.
ReplyDeletehttp://en.nitobe.info/ld/od/lingvoplanado.php
Wanchai (5114401912)
Corpus learning mean An attempt to fix o modify the structure of language.
ReplyDeleteAnusak Boonlarm
5114440485
corpus planning refer to fix or modify the structure of language such as writing system, spelling, grammar,and vocabulry in order to develop the language into standard and modern.
ReplyDeleteRungtawun 5114400269
corpus planning is misleading in that the planning does not affect any kind of corpus, but the structure of a language
ReplyDeleteSakuntala 48141752
Corpus linguistics is the study of language as expressed in samples (corpora) or "real world" text. This method represents a digestive approach to deriving a set of abstract rules by which a natural language is governed or else relates to another language. Originally done by hand, corpora are now largely derived by an automated process.
ReplyDeleteReference:http://en.wikipedia.org/wiki/Corpus_linguistics
เมษ์จิตรา 5114400249
Corpus linguistics provides a more objective view of language than that of introspection, intuition and anecdotes. John Sinclair (1998) pointed out that this is because speakers do not have access to the subliminal patterns which run through a language. A corpus-based analysis can investigate almost any language patterns--lexical, structural, lexico-grammatical, discourse, phonological, morphological--often with very specific agendas
ReplyDeletehttp://iteslj.org/Articles/Krieger-Corpus.html
Parichat 5114400179
Corpus planning refers to the prescriptive intervention in the forms of a language, whereby planning decisions are made to engineer changes in the structure of the language.Corpus planning activities often arise as the result of beliefs about the adequacy of the form of a language to serve desired functions.
ReplyDeleteArunothai Hauyyai 5114400344
Corpus planning is the process of language stardization.คือการวางแผนที่จะนำคำศัพท์ที่เกิดขึ้นใหม่มาเป็นภาษาที่เป็นที่ยอมรับ
ReplyDeleteNipaporn 48141594