เชิญแปลบทความ "เรื่องอุจจาระอุจจาระ" ซึ่งเป็นบทนำบทหนึ่ง ในหนังสือ ก้อนคำ หรือ Holy shit! It's all true จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษเพื่อร่วมชิงทุนการศึกษาห้ารางวัล คือ รางวัลชนะเลิศ 1,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ
700 บาท รางวัลที่สาม 500 บาท และรางวัลชมเชย 300 บาทสองรางวัล โดยแนบ File บทแปลพร้อมชื่อนามสกุลจริงผู้แปลไปที่ อาจารย์เมธี แก่นสาร์ mkan01@hotmail.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2552 ผลงานแปลชนะเลิศจะได้รับการพิจารณาพิมพ์ในหนังสือดังกล่าวด้วย
อ.เมธี แก่นสาร์ ผู้ประกาศ
หนังสือ ก้อนคำ คาดว่าจะออกได้ต้นปี 2553
จุดมุ่งหมายหนึ่งในการนี้ เพื่อกิจกรรม การสอนเยาวชนเพื่อการกุศลด้วย
บทความ
เรื่องขี้ๆ ( ก้อนคำ )
ขออภัยที่ต้องใช้คำพื้นๆ หยาบๆสำหรับหลายท่าน แต่ถ้าท่านวางใจให้เป็นกลางท่านจะเข้าใจว่า คำก็แค่คำ หรือก้อนคำ เป็นเรื่องขี้ๆที่ไม่สลับซับซ้อนอะไร ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติหากเราไม่ปรุงแต่ง ขี้ อาจเป็น (Key) ปริศนาในใจเราได้ เหมือนกับที่ผมได้เรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ แทนการรังเกียจและผลักไส
“ขี้” คำคำนี้บอกว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ ไม่น่าสนใจ แต่สิ่งที่ไม่สำคัญนี่แหละเป็นจุดกำเนิดของสิ่งที่สำคัญ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีจุดเริ่มต้น สิ่งที่สำคัญ จะสำคัญไม่ได้ถ้าไม่มีตัวเปรียบเทียบ ไม่มีสิ่งที่ด้อยกว่า และสิ่งที่ด้อยในวันนี้ก็ใช่ว่าจะต้องด้อยเสมอไป ทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของมันเอง จะมากน้อยก็แล้วแต่สถานการณ์ บางทีถ้าคนเราไม่หลงตัวเอง ไม่ลืมตน คำพูดที่ว่าเรื่องขี้ๆก็อาจไม่ใช่คำที่น่ารังเกียจเสมอไป หลายครั้งเรื่องเล็กๆที่เรามองข้ามเป็นเหตุที่ส่งผลที่รุนแรง เช่นบาดแผลเล็กๆแค่แมวข่วน ที่เรามองข้ามอาจเกิดติดเชื้อถึงขนาดคร่าชีวิตเราได้ ในมุมกลับกันมีมากมายที่ คนตัวเล็กๆที่หลายคนเคยดูหมิ่นหรือสบประมาทได้กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา หรือมีผู้ยิ่งใหญ่คนไหนบ้างที่ไม่เคยเป็นทารกไร้เดียงสา แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นทองเลอค่า อันไหนน่าจะเป็นอาจม แถมมีอยู่ไม่น้อยที่ยังจมปลักอยู่กับความหลงเช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่ามีอำนาจบารมีแล้วก็ตาม แล้วใยเล่าที่เราควรติดอยู่แค่รูป แค่นาม เราน่าจะถามตนเองดีไหมว่า หากเรื่องที่ยิ่งใหญ่มันยากและซับซ้อนเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ทันที จะผิดตรงไหนหากเราจะเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ดังที่มีภาษาสำนวนทั้งไทยและอังกฤษเปรียบเปรยไว้ว่า “เรื่องขี้ๆยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้ ” หรือ “You don’t know shit” ซึ่งเป็นคำกล่าวในทำนองว่า ” ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ประสีประสา “ หรือบอกเป็นนัยว่า ไม่รู้เรื่องอะไร อย่าพึ่งด่วนสรุป หรือถ้าไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่ก็ไม่พร้อมที่จะให้เวลาตัวเองได้เรียนรู้ อยากคิดเองเออเอง ไม่ยอมฟังคนอื่น ก็ไปไกลๆ อย่ามายุ่ง
นั่นคือที่มาที่ไป ที่ทำให้ผมสนใจและอยากศึกษาเรื่องอุจจาระอุจจาระที่ว่า …. ซึ่งความจริงแล้วผมสนใจเรื่องชีวิต จิตใจมาแต่ไหนแต่ไร….เมื่อชีวิตลิขิตให้มาเรียนภาษา ก็ไม่เคยลืมเรื่องจิตมนุษย์ เพราะ “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง“ แม้เมื่อถึงคราวต้องทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกผมก็มองหาจุดเชื่อมระหว่างจิตกับ ความคิดที่สะท้อนออกมาเป็นคำเป็นประโยค ผมจึงทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง Body part-related metaphors in Thai and English หรือคำอุปมาอุปไมยที่ว่าด้วยส่วนของร่างกายในภาษาไทยและอังกฤษ แล้วผมก็ได้ข้อสรุปว่าทุกคำพูดทุกสำนวนล้วนสะท้อนความคิดและประสบการณ์ที่ซ่อนลึก ส่วนผู้ฟังจะสัมผัสความลึกได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความลุ่มลึกของคนคนนั้นเช่นกัน…..ผมได้ลองได้เล่นกับภาษา…สนุกสนาน ..ซาบซึ้ง…เศร้า..เหงาและเจ็บ…กับความไม่เข้าใจ ..ความเป็นห่วง..คำปลอบประโลม กับคำเหน็บแนมและความลุ่มลึกของคน…แต่ก็เป็นสุขและไม่เคยเสียใจที่ได้ศึกษาในสิ่งที่อยากรู้ด้วยวิถีที่เลือกเอง
เรื่องขี้ๆของผม เริ่มขึ้นจากความรัก และก็วุ่นวายเจ็บปวดก็เพราะรัก ความรักคือความทุกข์ แต่ผมก็มีความสุขเมื่อผมพบกับความรักที่คู่ควร…รักที่ไม่อยากสงวนไว้แค่ลำพัง ..ผมจึงตัดสินใจบอกเล่าให้ผู้อ่านได้รับรู้รับฟัง…ด้วยความหวังที่ว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับรักที่เป็นสุขเช่นกัน…ที่ผมทำผมเขียนทั้งๆที่เสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมก็พร้อม ก็เพราะผมรักคุณ..รักทุกคน..และอยากให้ทุกคนในฐานะเพื่อร่วมโลกได้เรียนรู้ที่จะมองให้ลึก ให้ถึงความหมายที่มาจากดวงจิต ลิขิตที่อยู่เหนือถ้อยคำหรือหน่วยคำ อยากให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะเมตตาจะมีความรักให้กันและกัน…นั่นคือฝันของผม…
หากวลีที่ว่า “ของขี้ๆ เรื่องง่ายๆ” สื่อความหมายตามนั้น เรื่องของผมไม่น่าจะยุ่งยากเกินที่จะเข้าใจ ..เว้นเสียแต่ว่าเรื่องขี้ๆไม่ใช่เรื่อง “ขี้ปะติ๋ว” เสียแล้ว….หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ….มันก็คงถูกแล้วที่ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งหนึ่งตกลงจ่าย 500 บาทเพื่อแลกกับอุจจาระของผม…เพราะรักและเข้าใจ….คงไม่ผิดหรอกที่พี่ๆผมหลานผมหลอกพาผมเข้าโรงพยาบาลประสาทเพราะรักแต่ไม่เข้าใจ …. คงไม่ถือว่าแย่เกินไปกระมังที่ชาวบ้านจะใช้คำว่าบ้ากับผมเนื่องจากผมผ่านสถาบันด้านประสาทเพราะแม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีการศึกษาสูงก็ใช้คำนั้นกับผม..แต่ผมผิดหรือเปล่าที่ยังรักพวกเขาทั้งที่สงสัยความรักของคนเหล่านั้น…ผมผิดหรือเปล่าที่สนับสนุนให้ผู้ที่คิดว่าคำพูดและเหตุผลผมไม่มีความหมายพอที่จะรับฟังต่อไปช่วยให้ผมออกจากงานหน่อยเถอะ….และจะมีศิษย์กี่คนนะที่จะเข้าใจว่าการที่ผมให้เขาติด Fหรือตกนะไม่ได้หมายความว่าไม่รักและไม่เห็นใจ….ทั้งหมดก็เพราะรัก จริงๆนะ ดูการยืนยันจากสำนวนภาษาอังกฤษ “I don’t give a shit” ซิ ตรวจสอบได้เลย กับใครก็ได้ที่รู้ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าใครก็คงแปลความหมายไม่ต่างจากข้อความว่า “กู (ฉัน) ไม่สนใจ (เอ็ง -เรื่องของเอ็ง)” … แล้วมันผิดตรงไหนที่ครูสอนภาษาอังกฤษคนหนึ่งที่ศึกษาและสนใจ และพยายามจะสื่อความหมายกับมนุษย์รอบตัวมาเนิ่นนานแต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ได้ผลเท่าที่มันน่าจะเป็นจะทดลองเล่นและศึกษาจากสำนวน “I don’t give a shit “ โดยแสดงออกถึงความรักความตั้งใจดูแลด้วยการตอบโจทย์สำนวนนี้นั่นคือ “หากปัญหาระหว่างเรามันมีมูลเหตุอยู่ที่ว่าคุณไม่เชื่อว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นมันมาจากความรักความปรารถนาดี หากคุณจะคิดแต่เพียงว่าผมไม่สนใจ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วที่จะให้คุณเชื่อนอกจากตอบด้วยการกระทำสั้นๆง่ายๆว่าผมสนใจและจริงจังจริงใจ “Right! If all was because you thought I didn’t give a shit, here is my shit!”…..และแล้วผมก็มอบอุจจาระของผมให้คนที่ผมรัก….แล้วพวกเขาก็บอกว่าผมบ้า….จากที่เคยเรียกว่า “บักหล่า …บักก้อนคำ” ก็กลายเป็น “ บักผีบ้า …บักหูขี่” …นี่แหละเรื่องของ “ก้อนคำ” เรื่องบ้าๆของคนขี้ๆไร้สมองคนหนึ่ง…แต่เจ้าสมองขี้เลื่อยคนนี้ยังอยากเล่ารายละเอียดอยู่นะ….ว่าแต่ว่าคุณพร้อมจะฟังนิยายรักเรื่องนี้แล้วยัง?
ด็อกเตอร์ชิต (Dr. Key )
10 พฤศจิกายน 2552
No comments:
Post a Comment