About Me

My photo
"Teaching English and Villager Empowerment" We all can do something for others. Teachers too, can do a lot more than teaching in class, and helping people in the country is one among many. With this idea in mind, I have been spending my free time teaching kids in a village for free. Now, I am trying to change my small property to be a site for education; I have invited some of my friends, students and a few native speakers of English to meet with children. Sometimes, I talk to the parents and other villagers and discuss what we can do more. I believe that we all can contribute something for others, at least working together makes us become friends and learn from one another. Therefore, if you share similar ideas, don’t hesitate to contact me at meteekns79@gmail.com or post your comments in this Blog. Please don’t hesitate to do something if you can because your little help may be huge for less privileged children.

Tuesday, January 12, 2010

นักศึกษาที่สนใจประกวดการแปลบทความเพื่อทุนการศึกษา



เชิญแปลบทความ "เรื่องอุจจาระอุจจาระ" ซึ่งเป็นบทนำบทหนึ่ง ในหนังสือ ก้อนคำ หรือ Holy shit! It's all true จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษเพื่อร่วมชิงทุนการศึกษาห้ารางวัล คือ รางวัลชนะเลิศ 1,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ
700 บาท รางวัลที่สาม 500 บาท และรางวัลชมเชย 300 บาทสองรางวัล โดยแนบ File บทแปลพร้อมชื่อนามสกุลจริงผู้แปลไปที่ อาจารย์เมธี แก่นสาร์ mkan01@hotmail.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2552 ผลงานแปลชนะเลิศจะได้รับการพิจารณาพิมพ์ในหนังสือดังกล่าวด้วย

อ.เมธี แก่นสาร์ ผู้ประกาศ

หนังสือ ก้อนคำ คาดว่าจะออกได้ต้นปี 2553

จุดมุ่งหมายหนึ่งในการนี้ เพื่อกิจกรรม การสอนเยาวชนเพื่อการกุศลด้วย



บทความ

เรื่องขี้ๆ ( ก้อนคำ )

ขออภัยที่ต้องใช้คำพื้นๆ หยาบๆสำหรับหลายท่าน แต่ถ้าท่านวางใจให้เป็นกลางท่านจะเข้าใจว่า คำก็แค่คำ หรือก้อนคำ เป็นเรื่องขี้ๆที่ไม่สลับซับซ้อนอะไร ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติหากเราไม่ปรุงแต่ง ขี้ อาจเป็น (Key) ปริศนาในใจเราได้ เหมือนกับที่ผมได้เรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ แทนการรังเกียจและผลักไส

“ขี้” คำคำนี้บอกว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ ไม่น่าสนใจ แต่สิ่งที่ไม่สำคัญนี่แหละเป็นจุดกำเนิดของสิ่งที่สำคัญ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีจุดเริ่มต้น สิ่งที่สำคัญ จะสำคัญไม่ได้ถ้าไม่มีตัวเปรียบเทียบ ไม่มีสิ่งที่ด้อยกว่า และสิ่งที่ด้อยในวันนี้ก็ใช่ว่าจะต้องด้อยเสมอไป ทุกอย่างมีคุณค่าในตัวของมันเอง จะมากน้อยก็แล้วแต่สถานการณ์ บางทีถ้าคนเราไม่หลงตัวเอง ไม่ลืมตน คำพูดที่ว่าเรื่องขี้ๆก็อาจไม่ใช่คำที่น่ารังเกียจเสมอไป หลายครั้งเรื่องเล็กๆที่เรามองข้ามเป็นเหตุที่ส่งผลที่รุนแรง เช่นบาดแผลเล็กๆแค่แมวข่วน ที่เรามองข้ามอาจเกิดติดเชื้อถึงขนาดคร่าชีวิตเราได้ ในมุมกลับกันมีมากมายที่ คนตัวเล็กๆที่หลายคนเคยดูหมิ่นหรือสบประมาทได้กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา หรือมีผู้ยิ่งใหญ่คนไหนบ้างที่ไม่เคยเป็นทารกไร้เดียงสา แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นทองเลอค่า อันไหนน่าจะเป็นอาจม แถมมีอยู่ไม่น้อยที่ยังจมปลักอยู่กับความหลงเช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่ามีอำนาจบารมีแล้วก็ตาม แล้วใยเล่าที่เราควรติดอยู่แค่รูป แค่นาม เราน่าจะถามตนเองดีไหมว่า หากเรื่องที่ยิ่งใหญ่มันยากและซับซ้อนเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ทันที จะผิดตรงไหนหากเราจะเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ดังที่มีภาษาสำนวนทั้งไทยและอังกฤษเปรียบเปรยไว้ว่า “เรื่องขี้ๆยังทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้ ” หรือ “You don’t know shit” ซึ่งเป็นคำกล่าวในทำนองว่า ” ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ประสีประสา “ หรือบอกเป็นนัยว่า ไม่รู้เรื่องอะไร อย่าพึ่งด่วนสรุป หรือถ้าไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่ก็ไม่พร้อมที่จะให้เวลาตัวเองได้เรียนรู้ อยากคิดเองเออเอง ไม่ยอมฟังคนอื่น ก็ไปไกลๆ อย่ามายุ่ง

นั่นคือที่มาที่ไป ที่ทำให้ผมสนใจและอยากศึกษาเรื่องอุจจาระอุจจาระที่ว่า …. ซึ่งความจริงแล้วผมสนใจเรื่องชีวิต จิตใจมาแต่ไหนแต่ไร….เมื่อชีวิตลิขิตให้มาเรียนภาษา ก็ไม่เคยลืมเรื่องจิตมนุษย์ เพราะ “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง“ แม้เมื่อถึงคราวต้องทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกผมก็มองหาจุดเชื่อมระหว่างจิตกับ ความคิดที่สะท้อนออกมาเป็นคำเป็นประโยค ผมจึงทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง Body part-related metaphors in Thai and English หรือคำอุปมาอุปไมยที่ว่าด้วยส่วนของร่างกายในภาษาไทยและอังกฤษ แล้วผมก็ได้ข้อสรุปว่าทุกคำพูดทุกสำนวนล้วนสะท้อนความคิดและประสบการณ์ที่ซ่อนลึก ส่วนผู้ฟังจะสัมผัสความลึกได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความลุ่มลึกของคนคนนั้นเช่นกัน…..ผมได้ลองได้เล่นกับภาษา…สนุกสนาน ..ซาบซึ้ง…เศร้า..เหงาและเจ็บ…กับความไม่เข้าใจ ..ความเป็นห่วง..คำปลอบประโลม กับคำเหน็บแนมและความลุ่มลึกของคน…แต่ก็เป็นสุขและไม่เคยเสียใจที่ได้ศึกษาในสิ่งที่อยากรู้ด้วยวิถีที่เลือกเอง

เรื่องขี้ๆของผม เริ่มขึ้นจากความรัก และก็วุ่นวายเจ็บปวดก็เพราะรัก ความรักคือความทุกข์ แต่ผมก็มีความสุขเมื่อผมพบกับความรักที่คู่ควร…รักที่ไม่อยากสงวนไว้แค่ลำพัง ..ผมจึงตัดสินใจบอกเล่าให้ผู้อ่านได้รับรู้รับฟัง…ด้วยความหวังที่ว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับรักที่เป็นสุขเช่นกัน…ที่ผมทำผมเขียนทั้งๆที่เสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมก็พร้อม ก็เพราะผมรักคุณ..รักทุกคน..และอยากให้ทุกคนในฐานะเพื่อร่วมโลกได้เรียนรู้ที่จะมองให้ลึก ให้ถึงความหมายที่มาจากดวงจิต ลิขิตที่อยู่เหนือถ้อยคำหรือหน่วยคำ อยากให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะเมตตาจะมีความรักให้กันและกัน…นั่นคือฝันของผม…

หากวลีที่ว่า “ของขี้ๆ เรื่องง่ายๆ” สื่อความหมายตามนั้น เรื่องของผมไม่น่าจะยุ่งยากเกินที่จะเข้าใจ ..เว้นเสียแต่ว่าเรื่องขี้ๆไม่ใช่เรื่อง “ขี้ปะติ๋ว” เสียแล้ว….หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ….มันก็คงถูกแล้วที่ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งหนึ่งตกลงจ่าย 500 บาทเพื่อแลกกับอุจจาระของผม…เพราะรักและเข้าใจ….คงไม่ผิดหรอกที่พี่ๆผมหลานผมหลอกพาผมเข้าโรงพยาบาลประสาทเพราะรักแต่ไม่เข้าใจ …. คงไม่ถือว่าแย่เกินไปกระมังที่ชาวบ้านจะใช้คำว่าบ้ากับผมเนื่องจากผมผ่านสถาบันด้านประสาทเพราะแม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีการศึกษาสูงก็ใช้คำนั้นกับผม..แต่ผมผิดหรือเปล่าที่ยังรักพวกเขาทั้งที่สงสัยความรักของคนเหล่านั้น…ผมผิดหรือเปล่าที่สนับสนุนให้ผู้ที่คิดว่าคำพูดและเหตุผลผมไม่มีความหมายพอที่จะรับฟังต่อไปช่วยให้ผมออกจากงานหน่อยเถอะ….และจะมีศิษย์กี่คนนะที่จะเข้าใจว่าการที่ผมให้เขาติด Fหรือตกนะไม่ได้หมายความว่าไม่รักและไม่เห็นใจ….ทั้งหมดก็เพราะรัก จริงๆนะ ดูการยืนยันจากสำนวนภาษาอังกฤษ “I don’t give a shit” ซิ ตรวจสอบได้เลย กับใครก็ได้ที่รู้ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าใครก็คงแปลความหมายไม่ต่างจากข้อความว่า “กู (ฉัน) ไม่สนใจ (เอ็ง -เรื่องของเอ็ง)” … แล้วมันผิดตรงไหนที่ครูสอนภาษาอังกฤษคนหนึ่งที่ศึกษาและสนใจ และพยายามจะสื่อความหมายกับมนุษย์รอบตัวมาเนิ่นนานแต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ได้ผลเท่าที่มันน่าจะเป็นจะทดลองเล่นและศึกษาจากสำนวน “I don’t give a shit “ โดยแสดงออกถึงความรักความตั้งใจดูแลด้วยการตอบโจทย์สำนวนนี้นั่นคือ “หากปัญหาระหว่างเรามันมีมูลเหตุอยู่ที่ว่าคุณไม่เชื่อว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นมันมาจากความรักความปรารถนาดี หากคุณจะคิดแต่เพียงว่าผมไม่สนใจ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วที่จะให้คุณเชื่อนอกจากตอบด้วยการกระทำสั้นๆง่ายๆว่าผมสนใจและจริงจังจริงใจ “Right! If all was because you thought I didn’t give a shit, here is my shit!”…..และแล้วผมก็มอบอุจจาระของผมให้คนที่ผมรัก….แล้วพวกเขาก็บอกว่าผมบ้า….จากที่เคยเรียกว่า “บักหล่า …บักก้อนคำ” ก็กลายเป็น “ บักผีบ้า …บักหูขี่” …นี่แหละเรื่องของ “ก้อนคำ” เรื่องบ้าๆของคนขี้ๆไร้สมองคนหนึ่ง…แต่เจ้าสมองขี้เลื่อยคนนี้ยังอยากเล่ารายละเอียดอยู่นะ….ว่าแต่ว่าคุณพร้อมจะฟังนิยายรักเรื่องนี้แล้วยัง?



ด็อกเตอร์ชิต (Dr. Key )

10 พฤศจิกายน 2552



No comments:

Post a Comment